วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

irridescent clouds ( Rainbow Cloud)



Rainbow Cloud @ Bangkok 14/06/09

ปรากฎการณ์ 'เมฆสีรุ้ง' มีชื่อเรียกทั่วไปว่า irridescent clouds ภาษาทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า Irisation คือมันเป็นการเกิดสีบนเมฆ ต่างหากจาก ทรงกลดแบบที่เรียกว่า โคโรน่า พวกเฮโลกับโคโรน่านี่เป็นวงกลมอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดแสงคือ ดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ โคโรน่า จะเป็นวงรัศมีประมาณไม่เกิน ๑๐ องศา(นับจากขอบฟ้าด้านหนึ่งไปด้านตรงข้ามเป็น ๑๘๐ องศา) ส่วน เฮโล จะเป็นวงรัศมี ๒๒ หรือ ๔๕ องศา อันมาจากความแตกต่างของมุมหักเหของแสง ส่วน Irisation นั้น ไม่เป็นวง เป็นแต้มบนเมฆ และจะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ ประมาณ ๕-๔๕ องศา จะเป็นสีอะไรก็ได้ แล้วแต่ขนาดของเม็ดน้ำ และระยะห่างระหว่างเม็ด เช่น ถ้าเม็ดน้ำอยู่ใกล้กันกว่าความยาวของคลื่นแสง(สีนั้นๆ) มันก็จะโอเว่อร์แล็พ(นึกภาษาไทยไม่ทันค่ะ ขออภัย)กัน แล้วทำให้ออกเหลือบๆดูเป็นสีแบบ metalic แต่บางครั้งจะเห็นเป็นแถบสีอย่างชัดเจนตามส่วนขอบของเมฆ ถ้าปรากฏการณ์นี้อยู่ใกล้ๆกับดวงอาทิตย์ มันก็คล้ายๆกับปรากฏการณ์ ทรงกลด นั่นแหละค่ะ แต่มันเกี่ยวข้องเฉพาะหยดน้ำในก้อนเมฆ ไม่ใช่หยดน้ำในอากาศทั่วไป(ซึ่งแห้งกว่า เลยไม่เห็นเป็นทรงกลดจริงๆ) เห็นเค้าว่า โดยทั่วไป เรามักจะเห็นเป็นสีม่วง กับสีชมพู คลื่นเมื่อมันหักเหแบบ diffraction ออกมาแล้ว มันก็ยังทำการ interference กันอีก แล้วแต่ว่าจะเป็น order ไหนของ interference เราดูได้จากสีของมันค่ะ แล้วก็ยังบอกลักษณะทางกายภาพได้ด้วยว่า หยดน้ำเล็กๆพวกนี้ มัน uniform (คือความเท่าๆกันของขนาดในกลุ่มหยดน้ำเหล่านี้) แค่ไหน หรือกำลังฟอร์มตัวขึ้นมา หรือกำลังระเหยไปอีก

ที่มาข้อมูล : http://sci4fun.com/cloud/cloud.html

Crepuscular Ray



Crepuscular Ray @ Bangkok 30/10/09 :17.29 pm.



Crepuscular Ray @ Bangkok 1/11/09 :14.56 pm.



Crepuscular Ray @ Bangkok 1/11/09 :16.54 pm.


ลำแสงคเรปูสกูลาร์ Crepuscular Ray


ชื่ออื่น : sunbeams, sunburst, sun rays, Sun Drawing Water, Backstays of the Sun, ropes of Maui, Jacob's Ladder, God Rays, cloud breaks, fingers of god (God's Fingers), Volumetric Lighting, Buddha's Fingers,

Crepuscular Ray เป็นลำแสงอาทิตย์ ที่ดูเหมือนกับจะกระจายออกจากจุดเดียวกัน(ดวงอาทิตย์)บนท้องฟ้า สามารถเกิดหลังก้อนเมฆ หรือวัตถุอื่นๆ ก็ได้ เช่น ต้นไม้ ภูเขา และ อาคาร

คำว่า crepuscular มีที่มาจากเวลาที่มันมักเกิด ที่เรียกว่า crepuscular hours คือในช่วงหลังพระอาทิตย์ขึ้น และก่อนพระอาทิตย์ตก เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว มีความแตกต่างของแสง (contrast) มากนั่นเอง

แม้ว่า Crepuscular Ray จะดูเหมือนกับกระจายออกจากจุดเดียวกัน แต่ที่จริงแล้ว ลำแสงทั้งหลายนี้ขนานกัน (อย่าลืมว่า ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าโลกมากๆ) ภาพลวงตานี้มีสาเหตุมาจาก linear perspective

นอกจากจะเกิดบนท้องฟ้าแล้ว Crepuscular Ray ยังเกิดใต้น้ำได้อีกด้วย เช่น ภายใต้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลก

Crepuscular Ray มี 3 ประเภทหลัก :

  1. ลำแสงที่ลอดจากช่องเปิดหรือรูของเมฆที่อยู่ระดับต่ำ เรียกว่า บันไดของจาคอป (Jacob's Ladder)
  2. ลำแสงกระจายออกจากหลังก้อนเมฆ
  3. ลำแสงสีออกชมพูหรือแดง พุ่งออกมาจากใต้ขอบฟ้า ซึ่งมักจะถูกเข้าใจว่าเป็น เสาแสง (Light Pillars)

ทำไมเราถึงเห็นลำแสง?

  1. เงา (shadow) : จะต้องมีวัตถุที่ปิดกั้นแสง ทำให้เกิดเงามืดระหว่างลำแสง อาจจะเป็น ก้อนเมฆ ต้นไม้ หรือ วัตถุอะไรก็ได้
  2. การกระเจิง (scattering) : เมื่อแสงส่องผ่านอากาศที่มีอนุภาคเล็กๆ เช่น ฝุ่น จะเกิดการกระเจิง ทำให้เราเห็นลำแสงได้ชัดเจนขึ้น เช่น ลำแสงของไฟหน้ารถที่วิ่งผ่านหมอก หรือฝุ่น
  3. (Linear Perspective) : เส้นต่างๆ ที่ออกมาจากจุดเดียวกันที่อยู่ไกลมาก จะดูเหมือนกับจะอยู่ห่างกันมากขึ้น เมื่อเข้ามาใกล้กับผู้สังเกตุการณ์ เช่น เสาไฟฟ้า หรือ ถนน
ที่มาบทความ :http://sci4fun.com/skyobserve/skyobserver.html

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Jack fruit Cake














เอาขนุนมาใส่เค้ก ทำออกมาคล้ายมัฟฟิน แต่พอเก็บไว้ สองวันรสเริ่มคล้ายฟรุตเค้ก
อิอิ จำได้แม่เพื่อนเคยทำให้กินครั้งหนึ่ง ชอบมาก อร่อยดี เลยหาวิธีทำมาจนได้
ได้ฤกษ์ลองทำ อุปกรณ์ขาดๆเกินๆ ก็มั่วๆไป
ผลที่ได้ ก็ไม่ได้ดั่งใจ ไม่ช่ายจิกินไม่ได้ แต่ยังไม่ฟูถูกใจ แถมขนุนก็ใส่ซะเยอะ เลยหวานซะ แต่ก้กินกันจนหมด ไม่เห็นมีเหลือซักคน

Ingredients:
1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 3 ถ้วย
2. ไข่ไก่ (อุณภูมิห้อง) 6 ฟอง
3. เนยออร์คิด 2 ก้อน
4. น้ำตาลทรายละเอียด 3/4 ถ้วย
5. ขนุนสุก 1 กิโล หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
6. ผงฟู 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
7. นมข้นจืด 3 ช้อนโต๊ะ
8. กลิ่นวนิลา 1 ช้อนโต๊ะ


Directions:
1. อุ่นเตาอบ 180 C
2. ร่อนแป้ง + ผงฟู พักไว้
3. ตีเนยกับน้ำตาลจนเนียน และน้ำตาลละลายดี แล้วใส่กลิ่นวนิลา
4. ใส่ไข่ไก่ทีละลูก ตีจนเข้ากันค่อยใส่อีกลูกนะคะ
5. ใส่แป้งและนมข้นจืด ตีให้เข้ากันดี
6. ค่อยๆ ใส่ขนุนลงไปแล้วตะล่อมให้เข้ากัน เนื้อเค้กที่ได้ค่อนข้างหนัก
7. ตักใส่พิมพ์ ประมาณ 3/4 ของพิมพ์
8.เข้าอบอุณหภูมิ 180 ํ C หรือ 350 ํ F. เวลาประมาณ 20-25 นาที จนขนมเหลือง
นำออกจากเตาพักให้เย็น

ทำเสร็จ หน้าตารสชาด มัฟฟินมากๆ
เค้กไม่ฟู เพราะผิดพลาดตอนตีไข่นี่แร่ะ
จะให้ฟู ต้องตีไข่ที่ละลูก แต่นี่ดันตีไข่แดงก่อน ไข่ขาว เทช้าไปนิสเลยไม่ค่อยฟูเลย

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปลาหมึกผัดน้ำพริกเผาไข่เค็ม



จานนี้อุดมไปด้วยความอยากกิน เพราะรวบรวมโปรตีนและคอเรสตอลรอลพอควร
ควรบริโภคแต่พอดี มิฉะนั้นจะ อ้วนได้ นะจ๊ะ สูตรนี้ก็มั่วๆ ทำแร่ะ ตามใจอยากกิน ไปดูกานมีไรม้าง

Ingredients:

1. ปลาหมึกกล้วย 0.5 กิโลกรัม (จะเล็กจะใหญ่ ขนาดตามชอบ)
2. หัวหอมใหญ่ 1 หัวใหญ่

3. กระเทียม 3 กลีบ ก็พอ กินมากตัวเหม็น

4. พริกสด 5 เม็ด
5. ต้นหอม 2 ต้นใหญ่ อวบ กำลังดี
6. น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ

7. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ มากกว่าหรือน้อยกว่า ตามสะดวก

8. เกลือ 0.5 ช้อนชา มากกว่าหรือน้อยกว่า แล้วแต่ความเค็ม
9. น้ำตาล 0.5 ช้อนโต๊ะ มากกว่าหรือน้อยกว่า ตามหน้าตาคนทำ
10.ไข่เค็ม 1 ฟอง
11.น้ำสุก หรือน้ำไม่สุก เล็กน้อย
12.น้ำมันพืช หรือน้ำมันตามที่ชอบ ยกเว้นน้ำมันงานะ ไม่หร่อย ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ


Directions: 1. ใส่น้ำมันลงกะทะให้ร้อน2. ใส่กระเทียมเจียวพอประมาณอย่างให้ใหม่นะ เหม็นอย่างแรง3. ใส่ห้วหอมใหญ่ผัดพร้อมกระเทียมให้หอม ตามด้วยพริกสด
4. ใส่น้ำพริกเผาลงผัดให้ทั่ว 5. โยนปลาหมีกที่หั่นเป็นแว่นๆ คลุกกับเกลือป่นไว้เรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ
6. ใส่น้ำมันหอย น้ำสุก และน้ำตาลชิมรส นิสนุง ผัดต่ออีก 7. ใส่ไข่เค็ม เอาส่วนใข่แดงทั้งลูกนะ หั่นสักนิส แล้วไข่ขาว ครึ่งลูกพอ มันเค็ม ผัดแบบคลุกเคล้า8. ใส่ต้นหอม ผัดนิสนุง ปิดไฟ จัดใส่จาน เสริฟร้อน ๆ หอมอร่อยอย่างแรง

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สุริยุปราคา22 กรกฎาคม 2009 ที่กรุงเทพ



เป็นการเกิด สุริยุปราคาเต็มดวงที่ยาวนานอีกครั้งนึงในศตวรรษนี้ หลังจาก เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สุดแสนมหัศจรรย์ เป็นความโชคดีของฝั่งเอเซีย ที่ได้เห็นปรากฎการณ์นี้ในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงเมืองไทยด้วย
แต่ที่เมืองไทย เห็นแค่ 60% เท่านั้น Partial eclipse in Bangkok 22 July 2009
ท้องฟ้าในกรุงเทพปิด ทำให้โอกาสเห็นปรากฎการณ์นี้มีเพียงน้อยนิส แต่ก็บังเอิญจริงที่มีโอกาสได้เห็นกับเค้า แค่ช่วง วินาทีนึง ก็ยังดีที่ได้เห็นกับปรากฎการณ์นี้ Longest Solar Eclipse of the 21st Century 22 July 2009

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"รุ้งกินน้ำ"





"รุ้งกินน้ำ"
"รุ้งกินน้ำ" ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า "Rainbow" ซึ่งมาจากคำย่อย 2 คำ คือ Rain+bow ซึ่งสื่อถึง "โค้งที่เกิดขึ้นเมื่อมีฝน" อย่างไรก็ตาม เราต่างก็ทราบดีว่า เราจะสามารถเห็นรุ้งกินน้ำได้ ไม่ใช่เนื่องจากฝน (ละอองน้ำ) อย่างเดียว แต่ต้องมี แสงอาทิตย์ (จากดวงอาทิตย์) ด้วย
"รุ้งกินน้ำ"...เกิดขึ้นได้อย่างไร
รุ้งกินน้ำมีสีสันต่างๆ เกิดจากปรากฎการณ์ระหว่างแสงกับหยดน้ำที่ล่องลอยปะปนอยู่ในอากาศ เมื่อเรามองด้วยตาเปล่าแสงอาทิตย์จะเป็นสีขาว แต่ในความเป็นจริงนั้นแสงอาทิตย์ประกอบด้วยแสงสีต่างๆ 7 สีอันได้แก่ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสดและสีแดง เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผิวของหยดน้ำฝนก็จะเกิดการหักเหของแสงแยกออกเป็น สีสันต่างๆ โดยที่แสงนี้เหล่านี้จะสะท้อนผิวด้านในของหยดน้ำหักเหอีกครั้งเมื่อสะท้อน ออก ส่วนมากแสงจะสะท้อนเป็นรุ้งตัวเดียว แต่ในบางครั้งแสงจะสะท้อนถึง 2 ครั้งก็เท่ากับว่าจะทำให้เกิดรุ้งกินน้ำขึ้นถึง 2 ตัว
จะมองหา "รุ้งกินน้ำ" ได้ที่ไหน และเมื่อใด ?
  • หลังฝนตก และมีแดดออก
  • ถ้า เกิดรุ้งกินน้ำบนท้องฟ้า รุ้งกินน้ำจะอยู่ด้านตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ และอยู่ด้านเดียวกับละอองน้ำ (ละอองฝน) ดังนั้น เวลาจะมองหารุ้งกินน้ำ ให้หันหลังให้ดวงอาทิตย์เสมอ
กระบวนการเกิดรุ้งกินน้ำในธรรมชาติ
  • แสงเดินทางมาถึงหยดน้ำ
  • แสง เกิดการหักเห เนื่องจากมีการเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นต่างกัน (จากอากาศสู่น้ำ) โดยแสงสีน้ำเงินจะหักเหมากกว่าแสงสีแดง
  • แสงเกิดการสะท้อนภายในหยดน้ำ เนื่องจากผิวภายในของหยดน้ำ มีความโค้งและผิวคล้ายกระจก
  • แสงเกิดการหักเห จากภายในหยดน้ำผ่านสู่อากาศอีกครั้ง
เมื่อดูโดยรวม มุมสะท้อนของแสงสีแดง คือ 42 องศา ในขณะที่มุมสะท้อนของ แสงสีน้ำเงิน คือ 40 องศา


รุ้งมี 7 สี : ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด(ส้ม) แดง :
รุ้งประกอบด้วยสีมากมาย ไล่เรียงตั้งแต่สีม่วงจนกระทั่งถึงสีแดง รุ้งเกิดจากแสงอาทิตย์ จึงมีสีครบเต็มสเปคตรัม
โค้งรุ้งกินน้ำจะมีขนาดใหญ่ เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ใกล้ขอบฟ้า เช่น ตอนเช้า หรือ ตอนเย็น .......โดย ปกติ รุ้งกินน้ำไม่สามารถเกิดเต็มวงได้ เนื่องจากมีพื้นดินมาบังเอาไว้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากข้อจำกัดในการเกิดรุ้งกินน้ำ เราอาจพูดได้ว่า เราสามารถเห็นรุ้งกินน้ำเต็มวงได้ หากอยู่บนเครื่องบิน ที่บินอยู่เหนือกลุ่มของละอองน้ำ หรือ ยืนอยู่บนยอดเขา มองลงไปในหุบเขาที่มีละอองน้ำ เป็นต้น
รุ้งกินน้ำจะมี อยู่ 2 ชนิด คือ
1. รุ้งปฐมภูมิ เกิดจากแสงตกกระทบหยดน้ำทางขอบบน เกิดการหักเห 2 ครั้ง สะท้อนกลับหมด 1 ครั้ง โดยจะเห็นเป็นสีต่าง ๆ กันมีสีแดงอยู่บนและมีสีม่วงอยู่ล่างสุด จะเกิดเป็นรุ้งตัวล่าง (มีสีเข้มกว่าตัวล่าง)
2. รุ้งทุติยภูมิ เกิดจากแสงตกกระทบหยดน้ำทางขอบล่าง เกิดการหักเห 2 ครั้ง สะท้อนกลับหมด 2 ครั้ง โดยจะเห็นเป็นสีต่าง ๆ กันมีสีม่วงอยู่บนและมีสีแดงอยู่ล่างสุด จะเกิดเป็นรุ้งตัวบน

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตั๊กแตนตำข้าว Praying Mantis



ตั๊กแตนตำข้าว Praying Mantis

ตั๊กแตนตำข้าวเป็นแมลงค่อนข้างใหญ่ มีความยาว 6-8 เซ็นติเมตร์ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ
มีสายตาดี สามารถหมุนได้ 180 องศา รอบๆ ขาคู่แรกของมันมีลักษณะคล้ายเคียว
ทำให้จับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ
อาหารของตั๊กแตนตำข้าวคือแมลง แต่บางครั้งมันกิน กบ กิ้งก่า หรือนกขนาดเล็กได้ด้วย
มันมักแอบซุ่มเหยื่อตามกิ่งไม้ พงหญ้า เวลาจู่โจมเหยื่อ มันจะชูขาหน้าคู่แรกขึ้น และตลัดใส่เหยื่ออย่างรวดเร็ว
แต่ถ้ามันถูกคุกคามหรือเจอศัตรู มันจะกางขาออก ทำตัวให้ใหญ่ขึ้น

ตั๊กแตนตำข้าวมีหลายชนิด ส่วนมากมีสีเขียว และเขียวอมเหลือง แต่บางชนิดก็สีน้ำตาล
มีลำตัวและขายาว มีปีกสองคู่ ส่วนหัวมีขนาดเล็ก เป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำ
มีปากแบบกัดที่แข็งแรงมาก ขาคู่แรก มีหนามที่แหลมคมเรียงเป็นแถว เป็นอาวุธร้ายไว้จู่โจมศัตรู
ส่วนขาคู่หลังเรียวยาว ทำให้เคลื่อนตัวได้ว่องไว

การผสมพันธุ์
ตามธรรมชาติแล้ว ตั๊กแตนตัวเมีย จะฆ่าตั๊กแตนตัวผู้ที่เป็นคู่ผสมพันธุ์
เมื่อถึงเวลาผสมพันธุ์ตัวเมียจะปล่อยกลิ่นพิเศษ เพื่อดึงดูดตัวผู้
เมื่อตัวผู้พบตัวเมีย จะไม่ผลีผลามเข้าไปใกล้ แต่จะรออยู่นิ่งๆก่อน เมื่อสบโอกาส
จะกระโดดเกาะหลังตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ หลังจากผสมพันธุ์เสร็จ ตัวผู้ต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด
เพราะว่าตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้มาก และดุร้ายมากช่วงเวลาผสมพันธุ์
เมื่อผสมพันธุ์เสร็จแล้ว ตัวเมียจะใช้ขาหน้าจับตัวผู้ไว้ แล้วกินทั้งตัว
บางครั้ง ตัวเมียกินตัวผู้ ตั้งแต่ยงผสมพันธุ์กันอยู่ แต่เนื่องจากระบบประสาทของตั๊กแตนไม่ได้อยู่ที่หัว
ทำให้มันยังผสมพันธุ์กันต่อไปได้
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ตัวเมียจะวางไข่ ซึ่งภายในไช่ มีไช่ประมาณ 300-400 ฟอง
และเมื่อฟักตัว ลูกตั๊กแตน จะลอกครอบ 6-7 ครั้ง จึงโตเต็มไว


แหะแหะ ตั๊กแตนตำข้าว เป็นนักฆ่าที่น่ากลัวจริงๆ ยิ่งช่วงผสมพันธุ์ดุร้ายสุดๆ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พระอาทิตย์ทรงกลด (Sunholes)




ในบางครั้งเมื่อเรามองดูดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า จะเห็นพระอาทิตย์หลายๆ ดวงซ้อนกัน มีขนาดโตกว่าปรกติ และมีรังสีรุ้งพร่าพราวสวยงามมาก ถ้าท่านได้มีโอกาสเห็นเฃ่นนี้แล้วขอให้เข้าใจเถอะว่าภาพพระอาทิตย์ที่เห็นนั้นตัวจริงมีเพียงดวงเดียว คือ ดวงที่อยู่ตรงกลางมีความสดใสมากที่สุดส่วนขนาดที่โตออกไปนั้นเป็นภาพสะท้อนออกไป มีรัศมีโดยรอบเรียกว่าพระอาทิตย์ทรงกลด

การเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดว่า เกิดขึ้นจากบรรยากาศของโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) ซึ่งเป็นบรรยากาศชั้นล่างสุด และเป็นที่อยู่ของกลุ่มเมฆจำนวนมาก มีอากาศเย็นจัดตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น จนทำให้ละอองน้ำในอากาศ ณ เวลานั้นๆ แข็งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งอนุภาคเล็กๆ จำนวนมหาศาลลอยอยู่บนท้องฟ้า

ทั้งนี้ เมื่อ พระอาทิตย์ขึ้น และส่องแสงทำมุมกับเกล็ดน้ำแข็งได้อย่างเหมาะสม จะเกิดการหักเหและการสะท้อนของแสง ทำให้เกิดเป็นแถบสีรุ้ง (sprectrum) คล้ายการเกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตกขึ้น โดยปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดจะเกิดมากในช่วงปลายฝนต้นหนาวซึ่งมีความชื้น จากฝนมาก เวลาที่เหมาะสมได้แก่ ช่วงก่อน 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยงเศษๆ ซึ่งเกล็ดน้ำแข็งยังไม่ละลาย แต่เมื่อเลยเที่ยงวันไปแล้ว โอกาสที่จะเกิดพระอาทิตย์ทรงกลดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเกล็ดน้ำแข็งจะได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์มากจนละลายหมดไป

ส่วนแสงสีที่ตามองเห็นนั้น จะขึ้นกับการทำมุมของแสงอาทิตย์และเกล็ดน้ำแข็ง แต่โดยทั่วไปเรามักจะเห็นเป็นแสงสีเหลืองอ่อนๆ มากที่สุด สำหรับขนาดของพระอาทิตย์ทรงกลดจะมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากจะมีขนาดเฉลี่ย 30 องศา โดยการลากเส้นตรง 2 เส้น มาบรรจบกันที่ดวงตาผู้มอง ได้แก่ เส้นตรงที่ลากจากกึ่งกลางของปรากฏการณ์มาที่ตาผู้มอง และเส้นตรงที่ลากจากขอบของปรากฏการณ์มาที่ดวงตาผู้มอง ซึ่งเป็นหลักการวัดระยะเชิงมุมของวัตถุต่างๆ บนท้องฟ้า เช่น ดวงดาว เป็นต้น

ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดไม่สามารถคาดการณ์การเกิดล่วงหน้าได้ แต่ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย พบได้มากในปีที่มีฝนหลงฤดู จึงทำให้มีความชื้นในอากาศมากตามไปด้วย จะเกิดมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งมีความชื้นจากฝนมาก เวลาที่เหมาะสมได้แก่ ช่วงก่อน 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยงเศษๆ ซึ่งเกล็ดน้ำแข็งยังไม่ละลาย แต่เมื่อเลยเที่ยงวันไปแล้ว โอกาสที่จะเกิดพระอาทิตย์ทรงกลดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเกล็ดน้ำแข็งจะได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์มากจนละลายหมดไป ในวันที่เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดจะเป็นวันที่อากาศไม่ร้อนจัด ไม่มีฝนตกปุบปับอย่างแน่นอน เว้นแต่จะมีลมพายุพัดเมฆฝนจากที่อื่นมา

คนไทยนับถือดวงอาทิตย์เป็นเทวดาเบื้อง บนองค์หนึ่ง สังเกตจากการเรียกนำหน้าว่า “พระ” ส่วนกลดก็ถือเป็นของสูงสำหรับพระ เช่น กลดของพระธุดงค์ ปรากฏการณ์นี้จึงเปรียบได้กับกลดของพระที่กำลังถูกล้อมรอบไว้ด้วยแสงของดวง อาทิตย์ไว้นั่นเอง จึงถือเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เป็น “มหิธานุภาพ” ของดวงอาทิตย์ มีความหมายในทางที่ดี มีมงคลแก่ทุกคนบนโลก

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เมี่ยงเงาะ



ของว่าง ทำง่าย ทานอร่อย


Ingredients:
-เงาะ (เอาแต่เนื้อ) 200 กรัม
-เนื้อหมูต้ม,มันหมูแข็ง,กุ้งต้ม อย่างละ1/4 ถัวยตวง
-ขิง หั่นสี่เหลี่ยม 1/4 ถ้วยตวง
-ถั่วลิสง หอมเจียว กระเที่ยมเจียว อย่างละ 1/4 ถ้วยตวง
-ผักกาดแก้ว,พริกชี้ฟ้าแดงหั่นแว่น
ส่วนผสมน้ำเมี่ยง
-น้ำตาลปีบ,น้ำปลา,น้ำมะขามเปียก อย่างละ3ช้อนโต๊ะ
-น้ำเปล่า 2ช้อนโต๊ะ

Directions:
1.ผสมน้ำเมี่ยงคนให้เข้ากัน ตั้งไฟเคี่ยว พอเหนียว
2.จัดส่วนผสมทั้งหมดลงรวมกับเงาะ รับประทานกับผักกาดแก้ว น้ำเมี่ยง
แต่งหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าแดง


ซี่โครงหมู ต้มเต้าเจี้ยว สูตรโบราณ














Description:
ต้มเต้าเจี้ยวเป็นอาหารไทยโบราณ
การปรุงก็ไม่ยุ่งยาก รสชาดกลมกล่อม ช่วยให้ร่างกายเย็นด้วย
แถมยังนำสับปะรดมาประกอบเป็นอาหารคาวได้อย่างลงตัวจริงๆ

ลองทำทานกันดูซิค่ะ
****
้เมนูนี้เป็นสูตรโบราณ มักใช้ต้มกับปลา
แต่สำหรับคนแพ้สัตว์น้ำ ก็เปลี่ยนเืนื้อสัตว์ได้ตามชอบค่ะ

Ingredients:
* ซี่โครงหมู 1 เส้น (เลือกเนื้อเยอะ มีมันติดเล็กน้อย)
* สับปะรดศรีราชา หั่นชิ้นเล็กพอคำ 1/2 ลูก
* ขิงซอย 1/4 ถ้วย หรือตามชอบ
* หัวหอมแดง บุบพอแตกประมาณ 10 หัว
* น้ำมะขามเปียก 1/4 ถ้วย (ใส่ตามที่ชอบ)
* เต้าเจี้ยวเม็ดผสมละเอียด 5 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ หรือ น้ำตาลทรายแดง 1/4 ถ้วย
* เกลือป่น เล็กน้อย
* ต้นหอม สำหรับโรยหน้า
* พริกแห้งทอด ใส่ตามชอบ

Directions:
1.นำซี่โครงหมูมาหมักกับซอสหอยนางรม ซอสแม็กกี้ น้ำตาลทรายเล็กน้อย พักไว้ 30 นาที
2.ต้มน้ำให้เดือด ใส่ซี่โครงหมู ต้มจนสุก ถ้าให้นุ่มก็เคียวทิ้งไว้อีก 30นาที
3.ใส่เ้้ต้าเจี้ยว ่หัวหอมแดงบุบพอแตก และต้นหอมส่วนที่เป็นหัวขาว ลงไป
4.ใส่สับปะรด น้ำเดือดใส่ขิงซอย และชิมรส เดิมน้ำมะขามเปียก ถ้าสับปะรดเปรี้ยวก็ลดน้ำมะขามเปียก ลง
5.ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือเล็กน้อย ชิมรสตามชอบ เน้นออกเปรี้ยวนำ
6.โรยต้นหอม พร้อมพริกทอดตอนเสริฟได้เลย

สัตว์มีพิษที่อันตรายที่สุดในโลก‏

\\^0^//...สุดยอดสัตว์มีพิษ

อันดับ 10 Puffer Fish - ปลาปักเป้า



ปลาปักเป้า คือสัตว์มีพิษ ที่มีคนนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น (ปลาปักเป้าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฟูกุ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า บ๊อค ฮัง) โดนเนื้อปลาปักเป้านั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวก ผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้านั่นเอา แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้า ต้องมีใบอนุญาติกันเลย ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไป อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที


อันดับที่ 9 Poison Dart Frog - กบลูกดอก



กบ ลูกดอกสีน้ำเงินนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่ในป่าฝนในทวีป อเมริกากลาง และ ใต้ เป็นกบที่มีสีสันสวยงามแต่พิษของมันร้ายแรงมาก พิษของกบลูกดอก 1 ตัว สามารถคนได้ถึง 10 คนและหนูถึง 20000 ตัว พิษของมันเพียง 5 ไมโครกรัม (เท่ากับปลายเข็ม) ก็สามารถฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ๆได้


พิษของมันถูกนำมาใช้ในลูกดอกอาบยาพิษของอินเดียแดง มันจึงถูกเรียกว่ากบลูกดอก


อันดับที่ 8 Inland Taipan - งูไทปันโพ้นทะเล



งู ไทปันถูกพบได้มากในทวีปออสเตรเลีย เป็งูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษที่มันปล่อยออกมาจากการกัดหนึ่งครั้ง สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน หรือหนู 250000 ตัว พิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภาพใน 45 นาที แต่อย่างไรก็ตาม งูไทปันเป็นงูที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีคนตายจากพิษของมัน


อันดับที่ 7 The Brazilian wandering spider -แมงมุมบราซิล



แมงมุม บราซิลหรือแมงมุมกล้วย ได้รับการบันทึกลงในกินเนสเวิลด์เรคคอรด์ว่าเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงที่ สุดในโลก พิษของมันมีพิษทำลายประสาท พวกมันจะอันตรายอย่างมาก เพราะโดยนิสัยของมันแล้วมันชอบแอบอยู่ตามรองเท้า ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งในรถยนต์ พิษของมันถ้าโดนกัดนอกจากจะทำให้เจ็บปวดอย่างมากแล้ว มันจะทำให้อวัยวะเพศของเราควบคุมไม่ได้ และ ถ้ารอดตายจากการโดนมันกัด มันก็จะทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ<< อย่างงี้ยอมโดนกัดให้ตายดีกว่ามั้ย?


อันดับ 6 Stonefish - ปลาหิน



ถ้า แข่งกันในเรื่องของความสวยงามแล้ว ปลาหิน ท่าทางจะแพ้อย่างขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันเรื่องความรุนแรงของพิษแล้วละก็ เจ้าปลาหินไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มันได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของปลาหินนี้จะอยู่ในหนามของตัวมันเอง มีคนบอกว่า ถ้าคุณโดนมันแทงเข้าละก้อ คุณจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเท่าที่มนุษย์จะเจ็บได้เลยทีเดียว นอกจากจะเจ็บสุดๆแล้ว มันจะทำให้คุณเป็นอัมพาต แล้วก็ตายได้ในที่สุด


มาต่อกันที่ 5 อันดับสุดท้าย ใครจะได้ครองแชมป์ สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก


อันดับที่ 5 Death Stalker Scorpion - แมงป่องพันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์



แมง ป่องโดยทั่วไปนั้น ถึงแม้ว่าจะโดนกัด พิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่.....มันไม่ใช่สำหรับแมงป่อง พันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์ เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบ ประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัด คุณจะปวดอย่างมหาศาล จากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาต และตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่า มันจะเป็นอันตรายต่อ เด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้นะ =.=


อันดับที่ 4 Blue-Ringed Octopus - ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน



ปลา หมึกแหวนน้ำเงินนั้นมีขนาดที่เล็กมาก ขนาดประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญ มันยังไม่มียาแก้พิษ =.= ถ้าโดน ปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดละก็ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่า พิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอ และคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบหายใจการจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด>> น่ากลัวไหมล่ะครับ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ


เข้าสู่ 3 อันดับสุดท้ายกันแล้วววว


อันดับที่ 3 Marbled Cone Snail - หอยเต้าปูนลายหินอ่อน



หอยเต้าปูน ตัวเล็กๆ สีสันสวยงาม แต่ พิษของมันนะหรอ เพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆ แล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลยนะครับ แค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานละก็ คุณจะปวด หลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบกาหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด แต่ยังไงก็ตาม มีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน


อันดับที่ 2 King Cobra - งูจงอาง



งู จงอางหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ophiophagus hannah เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตร งูจงอางนั้น เรารู้กันว่าอาหารโปรดของมันก็คือ งู นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในส่วนของมันนั้น ส่วนประกอบของมันแตกต่างกับพิษงูโดยทั่วไป ที่สำคัญ มันพบได้ทั่วไป ในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย


ในที่สุดก็มาถึงอันดับที่ 1 กันเลยยยย


และ สัตว์ที่ครองแชมป์ สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก ได้แก่...


อันดับ 1 ได้แก่ Box Jellyfish - แมงกระพรุนกล่อง



และ แล้วแมงกระพรุนกล่องก็ได้เป็นแชมป์สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดใน โลก รายงายว่ามันฆ่าคนไปแล้ว 5,567 คน พิษของมันนั้นจะไปทำลาย หัวใจ ระบบประสาท ผิวหนัง และที่สำคัญ ถ้าโดนพิษมันจะเจ็บปวดอย่างที่สุด ส่วนใหญ่คนที่โดนพิษมันนั้น จะ ช๊อค และหัวใจล้มเหลว ก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง แต่ถ้าคุณโดนพิษมันก็ยังมีโอกาสที่จะรอดอยู่นั่นคือ ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชู มาล้างอย่างน้อย 30 วินาที เพราะมันจะทำลายพิษของแมงกระพรุนกล่องก่อนที่มันจะเข้าไปสู่กระแสเลือด

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

Thunderclap

พายุฤดูร้อน ฝนฝ้าคะนอง มักมีสายฟ้าทั้งฟ้าแลบ ฟ้าร้องและฟ้าผ่า











































































ฟ้า ผ่า เป็นปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้นใน บรรยากาศ อันเกิดจากการคาย ประจุไฟฟ้า ที่สะสมในก้อนเมฆ เพียงแต่ การเกิดฟ้าผ่า ไม่ต้องมี แท่งตัวนำ การสะสมของประจุ ที่มีขั้วต่างกัน เป็นผลทำ ใหัเกิด สนามไฟฟ้า ระหว่างกลุ่ม
ประจุเหล่านั้น เมื่อประจุ มีการสะสมจำนวนมาก ทำให้ความเครียด สนามไฟฟ้า เพิ่มสูงขึ้น เกินค่าความคงทน ของอากาศต่อแรงดันไฟฟ้า ทำให้เกิดการคายประจุขึ้น อัน เป็นจุดกำเนิดของการเกิด ฟ้าผ่าขึ้น การคายประจุ อาจเกิดขึ้น ระหว่างก้อนเมฆ หรือ ระหว่าง ก้อนเมฆ กับ พื้นโลก ซึ่งเรียก ปรากฏการณ์ นี้ว่า "ฟ้าผ่า" อันเป็นปรากฎการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับ ความเป็นไป ของชีวิตมนุษย์ บนโลกตลอดเวลา

ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน


Description:
อาหารว่าง กินเล่นๆยามบ่าย

Ingredients:
1.แผ่นก๋วยเตี๋ยวไม่หั่นนะ เอาแบบแผ่นใหญ่สีเหลี่ยมผืนผ้า ประมาณ 8x8นิ้ว ซื้อมาครึ่งโล ใช้ไป 6 แผ่น

2.เนื้อสัตว์
แล้วแต่จะใช้ตามสไตล์ของแต่ละคน มีทั้งไก่ หมู ปลาทู กุ้ง ปลาหมึก ตามใจนะ
ชุดนี้ใช้
- ไ่่ก่้ ปริมาณ ตามใจ ใช้ไป 1ขีด ฉีกเป็นชิ้น
- เต้าหู้ขาว 1 ชิ้น ใช้ไปครึ่งชิ้น หั่นเป็นแท่งยาว
- ลูกชิ้นปลา 1 ขีด หั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก

3.ผักสด
ปริมาณตามชอบ ชอบเยอะใส่เยอะชอบน้อยใสน้อย
- ผักกาดหอม หั่นเป็นชิ้นเล็ก
- โหราพา เด็ดใบ
- ผักชีฝรั่ง ทั้งต้น
- แครอท หั่นฝอยและหั่นเป็นแท่ง
- สาระเหน่ เด็ดใบ
- กระหล่ำปลี หั่นฝอย
- แตงกวา หันแท่ง (ใช้ก็ได้ ไม่ชอบก็ไม่ต้องใช้)

4.น้ำจิ้ม
- พริกขี้หนูสวน ตามความชอบ
- มะนาว 2 ผล
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
- ซอสปรุงรส เล็กน้อยตามชอบ
- กระเทียม 1ช้อนโต๊ะ หรือตามชอบ
- ผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ


Directions:
มาปรุงกันดีกว่า

1 เริ่มจากนึ่งเส้นก๋วยเตี๋ยวให้สุก แล้วไปล้างน้ำเย็นสะอาด เส้นจะได้ไม่เละ พักทิ้งไว้
2. ไก่หมักซอสปรุงรส นำมานึ่งจนสุก
3. ลูกชิ้นปลานำมานึ่งจนสุก
4. เต้าหู้ขาวนำมานึ่งจนสุก และนำไปทอดให้เหลืองกรอบนอกนุ่มใน
5. แครอท หั่นแท่งยาว นึ่งจนสุก
น้ำจิ้ม
1. นำพริกขี้หนูสวนมาตำหรือปั่นพร้อมกระเทียม ให้ละเอียด (ไม่ชอบปั่น ก็ตำครก ไม่มีครก ก็สับละเอียด)
2. ปรุงรสด้วยซอส น้ำตาล น้ำมะนาว ตามชอบ โรย่ผักชี้สับ

นำแผ่นก๋วยเตี๋ยวมาวางแล้วนำผักที่เตรียมไว้วางเป็นแนว ใส่แท่งเต้าหู้ทอด ไก่ปรุงรส
แครอทแท่งนึ่งโรยด้วยลูกชิ้นปลาหั่นลูกเต๋าเล็ก ใส่แครอทฝอย แล้วม้วน เป็นแท่งกลม
แล้วตัดเป็นชิ้นพอดีคำ เสริฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้าน
อร่อยสุดสุดไปเลย

ยำหอยแครง


Description:
สูตรนี้ เน้นกลยกลิ่นคาวของสัตว์น้ำ สมุนไพรไทยเลยเยอะไปหน่อย แบบว่าคนทำแพ้สัตว์น้ำ แต่อยากกินบ้าง

Yum Hoy Krang
Ingredients:
หอยแครง 1/2 กิโลกรัม
น้ำมะนาว 1.5 ลูก ลูกใหญ่หน่อย
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ (แบบเนียนละเอียด)
ตะไคร้ซอย 2 ต้น
หอมแดงซอย 5 หัว
พริกขี้หนูซอย 2 ช้อนโต๊ะ
สะระแหน่เด็ดใบ 1/4 ถ้วยตวงหรือตามชอบ
ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ผักชีฝรั่งหั่นท่อนเล็ก 1 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมหันท่อนเล็ก 1 ช้อนโต๊ะ
ผักสำหรับกินแกล้มกับยำ
ผักกาดหอม โหราพา หรืออย่างอื่นตามชอบ


Directions:
1. นำหอยล้างดินให้สะอาด แล้วมาลวก แบบกึ่งๆสุกนะค่ะให้สีออกแดง แกะเปลือกใส่ชามไว้ ไม่ต้องเอาเลือดเค้าออก บีบมะนาว1ลูก ใส่หอยที่แกะไว้ แล้วคลุกให้ทั่วพักๆไว้ หอยจะสุกกว่าเดิมอีกเล็กน้อย
2.นำผักสมุนไพรที่เตรียมไว้มาผสมกานทั้งหมด ยกเว้นใบสาระแหน่
3. ผสมน้ำพริกเผา น้ำปลา มะนาว อีกเล็กน้อย กับหอยแครง แล้วใส่ผักในข้อ2 คลุกให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่จาน โรยใบสาระแหน่ เสริฟพร้อมผักกาดหอม โหราพา

ปล. 1.ถ้าลวกหอยไม่เป็นก็ให้แม่ค้าเค้าลวกให้ดีกว่า สะดวกกว่าเยอะ ลวกไม่เป็นเหมือนกาน อิอิิ
2. ถ้าชอบขิง ก็สามารถโรยขิงก่อนเสริฟได้ หอมอร่อยด้วยค่ะ
3. สีของเนื้อหอยและน้ำยำจะน่าหม่ำมากผลจากน้ำพริกเผาเจ้าค่ะ

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

ยำมะระกุ้งสด


Description:
มะระ...มีความขม แต่นำมาประกอบอาหารก็ได้รสชาตที่อร่อยถูกปากอย่างยิ่ง

มะระขม เพราะ มีสารอัลคาลอยด์ ที่มีชื่อ โมโมดิซิน ซ่วยให้เจริญอาหาร
เป็นยาระบายอ่อนๆ มีวิตามินซี และเบตาแคโรทีน
น้ำคั้นจากผลมะระใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่สตรีมีครรภ์ไม่ควรกิน
เพราะทำให้เกิืดการแท้งได้
ไม่ควรกินผลสุกของมะระ เพราะมีสารซาโปนินที่ทำให้เกิดอาการคลื่นใส้อาเจียน

ข้อมูลมะระ : จาก หนังสือ เคล็ดลับสุขภาพดี ซื้อได้ที่ซีเอ็ดบุค กริกริ

Ingredients:
1.มะระ 1/2 ลูก
2.หมูสับ 1 ช้อนโต๊ะ
3.กุ้งแชบ๊วย 5 ตัว
4.หอมใหญ่ หรือแดงก็ได้ ซอย 1หัว
5.มะเขือเทศ 1 ลูก
6.พริกขี้หนู 5 เม็ด
7.น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
8.น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
9.น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
10.ถั่วลิสงคั่ว ตามชอบ
10.ผักกาดหอม แครอทหั่นฝอย ตกแต่งจาน

Directions:
1. นำมะระที่ผ่าครึ่งตามแนวนอนแล้วหั่นบางๆ ลงลวกในน้ำเดือดจนสุก แล้วตักออกพักไว้
2. เอาหมู และกุ้งแชบ๊วยที่ผ่าหลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วลงไปลวกให้สุกเช่นกัน พักไว้
3. ทำน้ำยำโดย ตำหรือหั่นพริกขี้หนตามสไตล์ใครชอบ ตามด้วยมะนาว น้ำตาล น้ำปลา
4. แล้วนำน้ำยำมาคลุกกับหมูสับ กุ้งและมะระให้ทั่ว ชิมรสชาติให้กลมกล่อม ออกรสเปรี้ยว หวาน เค็ม
5. ตกแต่งจานด้วยผักกาดหอม และแครอท ใบสาระเหน่ แล้วเสิร์ฟได้ทันที
6.โรยถั่วลิสง ตามชอบ ไม่โรยก็ได้

สำหรับคนที่กลัวว่ามะระจะขมจัดจนกินไม่ได้นั้นมีคำแนะนำว่า ต้องรอให้น้ำเดือดจัดๆ เสียก่อน
แล้วจึงนำมะระไปลวก รับรองว่า “ยำมะระกุ้งสด” จานนี้อร่อยเด็ดแน่ๆ