วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

"รุ้งกินน้ำ"





"รุ้งกินน้ำ"
"รุ้งกินน้ำ" ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า "Rainbow" ซึ่งมาจากคำย่อย 2 คำ คือ Rain+bow ซึ่งสื่อถึง "โค้งที่เกิดขึ้นเมื่อมีฝน" อย่างไรก็ตาม เราต่างก็ทราบดีว่า เราจะสามารถเห็นรุ้งกินน้ำได้ ไม่ใช่เนื่องจากฝน (ละอองน้ำ) อย่างเดียว แต่ต้องมี แสงอาทิตย์ (จากดวงอาทิตย์) ด้วย
"รุ้งกินน้ำ"...เกิดขึ้นได้อย่างไร
รุ้งกินน้ำมีสีสันต่างๆ เกิดจากปรากฎการณ์ระหว่างแสงกับหยดน้ำที่ล่องลอยปะปนอยู่ในอากาศ เมื่อเรามองด้วยตาเปล่าแสงอาทิตย์จะเป็นสีขาว แต่ในความเป็นจริงนั้นแสงอาทิตย์ประกอบด้วยแสงสีต่างๆ 7 สีอันได้แก่ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสดและสีแดง เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผิวของหยดน้ำฝนก็จะเกิดการหักเหของแสงแยกออกเป็น สีสันต่างๆ โดยที่แสงนี้เหล่านี้จะสะท้อนผิวด้านในของหยดน้ำหักเหอีกครั้งเมื่อสะท้อน ออก ส่วนมากแสงจะสะท้อนเป็นรุ้งตัวเดียว แต่ในบางครั้งแสงจะสะท้อนถึง 2 ครั้งก็เท่ากับว่าจะทำให้เกิดรุ้งกินน้ำขึ้นถึง 2 ตัว
จะมองหา "รุ้งกินน้ำ" ได้ที่ไหน และเมื่อใด ?
  • หลังฝนตก และมีแดดออก
  • ถ้า เกิดรุ้งกินน้ำบนท้องฟ้า รุ้งกินน้ำจะอยู่ด้านตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ และอยู่ด้านเดียวกับละอองน้ำ (ละอองฝน) ดังนั้น เวลาจะมองหารุ้งกินน้ำ ให้หันหลังให้ดวงอาทิตย์เสมอ
กระบวนการเกิดรุ้งกินน้ำในธรรมชาติ
  • แสงเดินทางมาถึงหยดน้ำ
  • แสง เกิดการหักเห เนื่องจากมีการเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นต่างกัน (จากอากาศสู่น้ำ) โดยแสงสีน้ำเงินจะหักเหมากกว่าแสงสีแดง
  • แสงเกิดการสะท้อนภายในหยดน้ำ เนื่องจากผิวภายในของหยดน้ำ มีความโค้งและผิวคล้ายกระจก
  • แสงเกิดการหักเห จากภายในหยดน้ำผ่านสู่อากาศอีกครั้ง
เมื่อดูโดยรวม มุมสะท้อนของแสงสีแดง คือ 42 องศา ในขณะที่มุมสะท้อนของ แสงสีน้ำเงิน คือ 40 องศา


รุ้งมี 7 สี : ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด(ส้ม) แดง :
รุ้งประกอบด้วยสีมากมาย ไล่เรียงตั้งแต่สีม่วงจนกระทั่งถึงสีแดง รุ้งเกิดจากแสงอาทิตย์ จึงมีสีครบเต็มสเปคตรัม
โค้งรุ้งกินน้ำจะมีขนาดใหญ่ เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ใกล้ขอบฟ้า เช่น ตอนเช้า หรือ ตอนเย็น .......โดย ปกติ รุ้งกินน้ำไม่สามารถเกิดเต็มวงได้ เนื่องจากมีพื้นดินมาบังเอาไว้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากข้อจำกัดในการเกิดรุ้งกินน้ำ เราอาจพูดได้ว่า เราสามารถเห็นรุ้งกินน้ำเต็มวงได้ หากอยู่บนเครื่องบิน ที่บินอยู่เหนือกลุ่มของละอองน้ำ หรือ ยืนอยู่บนยอดเขา มองลงไปในหุบเขาที่มีละอองน้ำ เป็นต้น
รุ้งกินน้ำจะมี อยู่ 2 ชนิด คือ
1. รุ้งปฐมภูมิ เกิดจากแสงตกกระทบหยดน้ำทางขอบบน เกิดการหักเห 2 ครั้ง สะท้อนกลับหมด 1 ครั้ง โดยจะเห็นเป็นสีต่าง ๆ กันมีสีแดงอยู่บนและมีสีม่วงอยู่ล่างสุด จะเกิดเป็นรุ้งตัวล่าง (มีสีเข้มกว่าตัวล่าง)
2. รุ้งทุติยภูมิ เกิดจากแสงตกกระทบหยดน้ำทางขอบล่าง เกิดการหักเห 2 ครั้ง สะท้อนกลับหมด 2 ครั้ง โดยจะเห็นเป็นสีต่าง ๆ กันมีสีม่วงอยู่บนและมีสีแดงอยู่ล่างสุด จะเกิดเป็นรุ้งตัวบน

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ตั๊กแตนตำข้าว Praying Mantis



ตั๊กแตนตำข้าว Praying Mantis

ตั๊กแตนตำข้าวเป็นแมลงค่อนข้างใหญ่ มีความยาว 6-8 เซ็นติเมตร์ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ
มีสายตาดี สามารถหมุนได้ 180 องศา รอบๆ ขาคู่แรกของมันมีลักษณะคล้ายเคียว
ทำให้จับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ
อาหารของตั๊กแตนตำข้าวคือแมลง แต่บางครั้งมันกิน กบ กิ้งก่า หรือนกขนาดเล็กได้ด้วย
มันมักแอบซุ่มเหยื่อตามกิ่งไม้ พงหญ้า เวลาจู่โจมเหยื่อ มันจะชูขาหน้าคู่แรกขึ้น และตลัดใส่เหยื่ออย่างรวดเร็ว
แต่ถ้ามันถูกคุกคามหรือเจอศัตรู มันจะกางขาออก ทำตัวให้ใหญ่ขึ้น

ตั๊กแตนตำข้าวมีหลายชนิด ส่วนมากมีสีเขียว และเขียวอมเหลือง แต่บางชนิดก็สีน้ำตาล
มีลำตัวและขายาว มีปีกสองคู่ ส่วนหัวมีขนาดเล็ก เป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำ
มีปากแบบกัดที่แข็งแรงมาก ขาคู่แรก มีหนามที่แหลมคมเรียงเป็นแถว เป็นอาวุธร้ายไว้จู่โจมศัตรู
ส่วนขาคู่หลังเรียวยาว ทำให้เคลื่อนตัวได้ว่องไว

การผสมพันธุ์
ตามธรรมชาติแล้ว ตั๊กแตนตัวเมีย จะฆ่าตั๊กแตนตัวผู้ที่เป็นคู่ผสมพันธุ์
เมื่อถึงเวลาผสมพันธุ์ตัวเมียจะปล่อยกลิ่นพิเศษ เพื่อดึงดูดตัวผู้
เมื่อตัวผู้พบตัวเมีย จะไม่ผลีผลามเข้าไปใกล้ แต่จะรออยู่นิ่งๆก่อน เมื่อสบโอกาส
จะกระโดดเกาะหลังตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ หลังจากผสมพันธุ์เสร็จ ตัวผู้ต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด
เพราะว่าตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้มาก และดุร้ายมากช่วงเวลาผสมพันธุ์
เมื่อผสมพันธุ์เสร็จแล้ว ตัวเมียจะใช้ขาหน้าจับตัวผู้ไว้ แล้วกินทั้งตัว
บางครั้ง ตัวเมียกินตัวผู้ ตั้งแต่ยงผสมพันธุ์กันอยู่ แต่เนื่องจากระบบประสาทของตั๊กแตนไม่ได้อยู่ที่หัว
ทำให้มันยังผสมพันธุ์กันต่อไปได้
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ตัวเมียจะวางไข่ ซึ่งภายในไช่ มีไช่ประมาณ 300-400 ฟอง
และเมื่อฟักตัว ลูกตั๊กแตน จะลอกครอบ 6-7 ครั้ง จึงโตเต็มไว


แหะแหะ ตั๊กแตนตำข้าว เป็นนักฆ่าที่น่ากลัวจริงๆ ยิ่งช่วงผสมพันธุ์ดุร้ายสุดๆ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พระอาทิตย์ทรงกลด (Sunholes)




ในบางครั้งเมื่อเรามองดูดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า จะเห็นพระอาทิตย์หลายๆ ดวงซ้อนกัน มีขนาดโตกว่าปรกติ และมีรังสีรุ้งพร่าพราวสวยงามมาก ถ้าท่านได้มีโอกาสเห็นเฃ่นนี้แล้วขอให้เข้าใจเถอะว่าภาพพระอาทิตย์ที่เห็นนั้นตัวจริงมีเพียงดวงเดียว คือ ดวงที่อยู่ตรงกลางมีความสดใสมากที่สุดส่วนขนาดที่โตออกไปนั้นเป็นภาพสะท้อนออกไป มีรัศมีโดยรอบเรียกว่าพระอาทิตย์ทรงกลด

การเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดว่า เกิดขึ้นจากบรรยากาศของโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) ซึ่งเป็นบรรยากาศชั้นล่างสุด และเป็นที่อยู่ของกลุ่มเมฆจำนวนมาก มีอากาศเย็นจัดตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น จนทำให้ละอองน้ำในอากาศ ณ เวลานั้นๆ แข็งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งอนุภาคเล็กๆ จำนวนมหาศาลลอยอยู่บนท้องฟ้า

ทั้งนี้ เมื่อ พระอาทิตย์ขึ้น และส่องแสงทำมุมกับเกล็ดน้ำแข็งได้อย่างเหมาะสม จะเกิดการหักเหและการสะท้อนของแสง ทำให้เกิดเป็นแถบสีรุ้ง (sprectrum) คล้ายการเกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตกขึ้น โดยปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดจะเกิดมากในช่วงปลายฝนต้นหนาวซึ่งมีความชื้น จากฝนมาก เวลาที่เหมาะสมได้แก่ ช่วงก่อน 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยงเศษๆ ซึ่งเกล็ดน้ำแข็งยังไม่ละลาย แต่เมื่อเลยเที่ยงวันไปแล้ว โอกาสที่จะเกิดพระอาทิตย์ทรงกลดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเกล็ดน้ำแข็งจะได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์มากจนละลายหมดไป

ส่วนแสงสีที่ตามองเห็นนั้น จะขึ้นกับการทำมุมของแสงอาทิตย์และเกล็ดน้ำแข็ง แต่โดยทั่วไปเรามักจะเห็นเป็นแสงสีเหลืองอ่อนๆ มากที่สุด สำหรับขนาดของพระอาทิตย์ทรงกลดจะมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากจะมีขนาดเฉลี่ย 30 องศา โดยการลากเส้นตรง 2 เส้น มาบรรจบกันที่ดวงตาผู้มอง ได้แก่ เส้นตรงที่ลากจากกึ่งกลางของปรากฏการณ์มาที่ตาผู้มอง และเส้นตรงที่ลากจากขอบของปรากฏการณ์มาที่ดวงตาผู้มอง ซึ่งเป็นหลักการวัดระยะเชิงมุมของวัตถุต่างๆ บนท้องฟ้า เช่น ดวงดาว เป็นต้น

ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดไม่สามารถคาดการณ์การเกิดล่วงหน้าได้ แต่ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย พบได้มากในปีที่มีฝนหลงฤดู จึงทำให้มีความชื้นในอากาศมากตามไปด้วย จะเกิดมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งมีความชื้นจากฝนมาก เวลาที่เหมาะสมได้แก่ ช่วงก่อน 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยงเศษๆ ซึ่งเกล็ดน้ำแข็งยังไม่ละลาย แต่เมื่อเลยเที่ยงวันไปแล้ว โอกาสที่จะเกิดพระอาทิตย์ทรงกลดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเกล็ดน้ำแข็งจะได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์มากจนละลายหมดไป ในวันที่เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดจะเป็นวันที่อากาศไม่ร้อนจัด ไม่มีฝนตกปุบปับอย่างแน่นอน เว้นแต่จะมีลมพายุพัดเมฆฝนจากที่อื่นมา

คนไทยนับถือดวงอาทิตย์เป็นเทวดาเบื้อง บนองค์หนึ่ง สังเกตจากการเรียกนำหน้าว่า “พระ” ส่วนกลดก็ถือเป็นของสูงสำหรับพระ เช่น กลดของพระธุดงค์ ปรากฏการณ์นี้จึงเปรียบได้กับกลดของพระที่กำลังถูกล้อมรอบไว้ด้วยแสงของดวง อาทิตย์ไว้นั่นเอง จึงถือเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เป็น “มหิธานุภาพ” ของดวงอาทิตย์ มีความหมายในทางที่ดี มีมงคลแก่ทุกคนบนโลก